จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 3 วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555
เรื่อง ขอให้ทบทวนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
เรียน นายกรัฐมนตรี
สําเนาถึง
1. ประธานวุฒิสภา
2. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
3. ประธานสภาผู้แทนราษฎรประธานวุฒิสภา
สิ่งที่ส่งมาด้วย
1. จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 1 เรื่องขอให้ทบทวนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ลงวันที่ 14 กันยายน 2554
2. จดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 2 เรื่องขอให้ทบทวนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ลงวันที่ 12 มีนาคม 2555
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มี ความร้ายแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ จังหวัดปัตตานี ยะลาและจังหวัดนราธิวาส ต่อไปอีก 3 เดือน เป็นการ ขยายระยะเวลาครั้งที่ 27 ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม – 19 มิถุนายน 2555
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมและมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ขอให้ ท่านนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาข้อมูลและ ข้อคิดเห็นต่อจดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ลงวันที่ 14 กันยายน 2554 และวันที่ 12 มีนาคม 2555 ตามลําดับ ซึ่งได้เคยนําเสนอข้อมูลและข้อคิดเห็นต่อกรณีการประกาศขยายระยะเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ อีกครั้งก่อน พิจารณาประกาศให้พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่สถานกาณณ์ฉุกเฉินประเภทร้ายแรงต่อไปอีก 3 เดือน ซึ่ง จะทําให้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ มีผลใช้บังคับในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ครบ 8 ปี นอกจากนี้ทางมูลนิธิฯ ยังมีความเห็น คัดค้านการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และข้อเสนอเพิ่มเติมดังนี้
- เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติให้ พล.อ. ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ดํารง ตําแหน่งประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กปต.) และวันที่ 17 พฤษภาคม 2555 ประธาน กปต. ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกันกับผู้บริหารระดับสูงของส่วนราชการที่ เกี่ยวข้อง 17 กระทรวง 66 หน่วยงาน รวมทั้งหน่วยงานในระดับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการจังหวัดชายแดน ภาคใต้ ได้แก่ สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ศูนย์อํานวยการการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต) และกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน) และตัวแทนผู้บริหารเห็นชอบในการขับเคลื่อนการ ปฏิบัติงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างยุทธศาสตร์ของศอ.บต.จํานวน 9 ข้อ เน้นงานด้านการพัฒนา และยุทธศาสตร์ 6 ข้อ ของ กอ.รมน. ที่เน้นงานด้านความมั่นคง ภายใต้กรอบของแผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2555-2557 เสนอโดยสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
- มูลนิธิฯ มีข้อมูลอันเป็นที่ประจักษ์ว่า ศอ.บต. ได้เดินหน้านโยบายในการพัฒนาเพื่อฟื้นฟูความเข้าใจและลด เงื่อนไขความรุนแรง โดยการเปิดนโยบายการเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ รวมถึงผู้ที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ เช่น มีการซ้อมทรมาน การอุ้มหาย การควบคุมตัวโดยไม่ชอบ การวิสามัญฆาตรกรรม และการปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวโดยไม่ สามารถดําเนินคดีอาญาต่อบุคคลต้องสงสัยนั้นได้ ซึ่งย่อมเป็นการยอมรับโดยรัฐในการใช้อํานาจในการบังคับใช้กฎหมาย ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพ และความปลอดภัยของประชาชน นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังพบว่าศอ.บต.ได้ ดําเนินการโดยดําเนินการแก้ไข กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือข้อกฎหายต่างๆที่ขัดต่อวิถีชีวิตอัตลักษณ์ของพี่น้องมุสลิม เป็นการยกระดับบรรยากาศของการยอมรับอัตลักษณ์ของบุคคลที่ได้รับการรับรองไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญและหลักกติกาสากล รวมทั้งการเปิดพื้นที่การพูดคุยด้านสันติภาพต่อสาธารณะมากขึ้น
- พิจารณาในแผนการรักษาความมั่นคง ทาง มูลนิธิฯ พบว่า ไม่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐ หรือประชาชนผู้บริสุทธิ์ ยังคง ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง ยังคงความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สิน ขณะเดียวกันการจัดการเพื่อยับยั้งความรุนแรงโดย การปราบปราม โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายที่เน้นไปในการจับกุมและควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัย การจํากัดสิทธิและ เสรีภาพที่ยังก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะสิทธิในการพบญาติและทนายความ อันนําไปสู่ความไม่โปร่งใสในกระบวนการการซักถาม
- กรณีการจับกุม และควบคุมตัวนักศึกษาและนักกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดยะลาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 ส่งผลให้กลุ่มนักศึกษาได้รวมตัวกันเรียกร้องให้มีการชี้แจงจากหน่วยงานความมั่นคงถึงเหตุที่ต้องสงสัย เนื่องจากมีอดีต นักกิจกรรม และนักศึกษาที่ถูกควบคุมตัวเหล่านั้นจัดทํากิจกรรมและการเคลื่อนไหวไม่ให้มีการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตประจําวัน สิทธิและเสรีภาพมากกว่าความรู้สึกปลอดภัย หรือการแก้ไขเหตุร้ายได้จริง เหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นนี้ย่อมเป็นการคุกคามประชาชนในพื้นที่ ที่ต้องการเคลื่อนไหวและเรียกร้อง ให้มีการทบทวนการบังคับใช้กฎหมาย พิเศษที่ละเมิดต่อสิทธิของประชาชน โดยล่าสุดกลุ่มนักศึกษามีการเคลื่อนไหวตามหลักการสันติวิธี ด้วยการยื่นหนังสือต่อ ตัวแทนนักการทูตขององค์การความร่วมมืออิสลาม หรือ “โอไอซี” ให้มีการเจรจาพูดคุยกับรัฐบาลไทย เพื่อพิจารณาข้อ เรียกร้องในการทบทวนการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ซึ่งมีข้อเสนอนี้มีความสอดคล้องต่อความห่วงใยของผู้แทนโอไอซี ถึงรัฐบาลไทยกรณีการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ที่เป็นต้นเหตุสําคัญในการร้องเรียนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ได้ มีแนวคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลผ่านสื่อมวลชนในการเรียกร้องให้มีการทบทวนการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และใช้วิธีการแบบสันติวิธีและการพัฒนา
- มูลนิธิฯ เห็นว่า เมื่อนโยบายและการปฏิบัติของฝ่าย ศอ.บต.และกอ.รมน. เป็นไปในลักษณะของเส้นขนานกับ การบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ที่ยังจํากัดสิทธิและละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมต่อไป จะส่งผลให้โอกาสในการสร้าง บรรยากาศให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ในแบบสันติภาพย่อมเกิดขึ้นจริงได้ยากยิ่งขึ้น
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมและมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลได้ทดลองไม่ขยายการประกาศ การบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในครั้งนี้เป็นระยะเวลาสามเดือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารโดย ศอ.บต.สามารถ ดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ที่เน้นการพัฒนาและสร้างสันติภาพ โดยสันติวิธี เพื่อเปรียบเทียบถึงความจําเป็นที่จะยังคง มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อไป ทั้งนี้เพื่อเป็นส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจในประชาคมอาเซียนที่ยั่งยืนและมีเสถียรภาพพร้อมที่จะมีการพัฒนากรอบความร่วมมือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามความมั่นคงทั้งของรัฐและความมั่นคงของประชาชนในประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกันต่อไปในอนาคตอันใกล้
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ขอแสดงความนับถือ
(นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ) ผู้อํานวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
(นายกิจจา อาลีอิสเฮาะ) เลขานุการมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม