จากการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553 รายงานว่าในพื้นที่จังหวัด นราธิวาสเกิดเหตุระเบิด 9 จุด และการเผาทําลาย 1 จุด ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้น 13 ราย โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่ ตั้งแต่เช้าตรู่วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งตรงกับวันครบรอบหกปีเหตุการณ์ตากใบ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอให้ผู้ ก่อเหตุร้ายยุติการกระทําที่โหดร้ายต่อผู้บริสุทธิ์ และขอแสดงความเสียใจต่อผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้ที่อาจกลายเป็นผู้พิการ ซึ่งต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม และเท่าเทียม
ทั้งนี้เพื่อเยียวยาความเสียหายทั้ง ทางด้านร่างกายและจิตใจต่อผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 13 ราย โดยเฉพาะบุคคลที่สูญเสียขาทั้งสองข้างจํานวนหนึ่งราย และเสียขาซ้ายจากเหตุระเบิดรวมเป็นจํานวนสองรายตามที่เป็นข่าว
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติขยายระยะเวลาการบังคับใช้พระราชกําหนดบริหารราชการใน สถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตามข้อเสนอของ กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยเป็นการต่ออายุ พ.ร.ก. ฉุกเฉินครั้งที่ 21 มีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 3 เดือนตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. 2553 – 19 ม.ค. 2554 โดยให้เหตุผลว่า สถานการณ์ในพื้นที่ยังมีความรุนแรงในบางจุด ถึงแม้ เจ้าหน้าที่จะพยายามระงับยับยั้งและป้องกันก็ตาม แต่ยังจําเป็นต้องขยายเวลาประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯออกไป
มูลนิธิฯ มีความเห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายพิเศษ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมาอาจเป็นเครื่องมือ ของรัฐที่ไม่ได้ผล เพราะยังไม่สามารถระงับเหตุ ไม่สามารถพาแนวทางนโยบายสันติวิธีได้ และยังไม่มีแนวโน้มว่าฝ่าย ความมั่นคงจะสามารถปกป้องคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกายของประชาชนได้ ฝ่ายก่ออาชญกรรมก็ไม่ได้เกรงกลัวต่อ
กฎหมายดังกล่าว
แม้จะมีการใช้กฎหมายพิเศษหลายฉบับพร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงลงไปปฏิบัติหน้าที่จํานวน มากถึง 60,000 นาย คิดเป็นสัดสวนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่อประชากรในพื้นที่ซึ่งสูงถึง 1:30 คน โดยเปรียบเทียบกับ สัดส่วนแพทย์ต่อประชากรของประเทศไทยคือ 1:1,985 คน หรือสัดส่วนของพยาบาลสัดส่วนของพยาบาลต่อจํานวน
ประชากรคือ 1:532 คน ตัวเลขจํานวนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงดังกล่าวนี้จึงเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า การให้ ความสําคัญกับความมั่นคงของรัฐในความหมายแคบ งหมายแต่เพียงการปราบปรามการก่อความไม่สงบอาจไม่ใช่เพียง หนทางเดียวในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
ปัญหาเชิงโครงสร้างด้านอื่นๆ เพื่อพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ความขัดแย้ง อาจเป็นเครื่องมือใหม่ที่รัฐบาลต้องนํามาทบทวนอย่างเร่งด่วนและร่วมกันทุกภาคส่วนรวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เองเพื่อทําให้กฎหมาย และกลไกปกติของหน่วยงานพลเรือนเข้ามาพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ให้ไม่น้อยไปกว่าการ รักษาความมั่นคงของรัฐ ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ใดใด ที่มุ่งทําลายชีวิตและทรัพย์สินของ ประชาชนในพื้นที่ไปมากกว่านี้เกิดขึ้นอีก
โดยต้องยึดหลักการจากถ้อยคําซึ่งมีอิทธิพลในทางวิชาการเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงที่ว่า “สนับสนุน ไม่แย่งชิงอํานาจที่ชอบธรรมของพลเรือน” (“Support, not Supplant, Civilian Authority”)1Bangkok Post: National Security Laws: Key implications for Thailand, 24 Oct 2010
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอยืนยันว่า “สิทธิในชีวิต และร่างกาย ซึ่งถือเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของทุกคน เมื่อมีการเข่นฆ่า ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นเจ้าหน้าที่ หรือผู้ก่อความไม่สงบก็ตาม รัฐมีหน้าที่ต้องเอาตัวผู้กระทําผิดมาลงโทษตาม กระบวนการยุติธรรม มีเพียงสองสาเหตุเท่านั้นที่รัฐไม่ดําเนินการดังกล่าว คือรัฐไม่เต็มใจ (Unwilling) ที่จะจับกุม ผู้กระทําผิด เนื่องจากอาจเป็นกระทําผิดโดยรัฐ หรือโดยการรู้เห็นเป็นใจของรัฐ หรือรัฐ ไม่สามารถ (Unable) ที่จะนําตัว ผู้กระทําผิดมาลงโทษ ซึ่งรัฐที่ไม่สามารถก็คือรัฐที่ล้มเหลว (Failed State)
ในที่สุดผู้ที่ถูกกดขี่รังแก ทําร้ายเข่นฆ่า ก็ต้อง ลุกขึ้นมาปกป้องตนเอง จนอาจถึงขั้นจับอาวุธและกลายเป็นสงครามกลางเมือง ตามข้อความในอารัมภบทของปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในวรรคที่สามได้กล่าวไว้ว่า “ด้วยเหตุที่เป็นสิ่งจําเป็นที่สิทธิมนุษยชนควรได้รับความคุ้มครอง โดยหลักนิติธรรม ถ้าไม่ต้องการให้มนุษย์ถูกบีบบังคับให้หาทางออกสุดท้ายโดยการขบถต่อทรราชย์ และการกดขี่”
เหตุการณ์ตากใบ เป็นเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ในช่วงระหว่างที่มีการประกาศใช้กฎ อัยการศึกในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้เสียชีวิตบนรถขนย้ายผู้ชุมนุม 78 ราย เสียชีวิตที่หน้าสถานีตํารวจภูธรตากใบ 6 ราย และ เสียชีวิตที่โรงพยาบาล 1 ราย 1 ราย มีผู้ถูกจับกุมจํานวนกว่า 1,300 คน และผู้บาดเจ็บอีกจํานวนมาก ศาลจังหวัดสงขลามีคําสั่งในคดีชันสูตร พลิกศพเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ว่าผู้ตายเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ แต่ไม่ระบุถึงพฤติการณ์ และผู้ที่ทําให้ตาย ทําให้ ญาติผู้ตายเห็นว่ายังไม่เป็นธรรมต่อผู้ตาย
ญาติผู้ตายจึงร่วมกันยื่นคําร้องต่อศาลอาญาขอให้เพิกถอนคําสั่งศาลจังหวัดสงขลา และขอให้มี คําสั่งใหม่ให้ถูกต้อง และเป็นธรรมตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 150 และตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ศาลอาญามีคําสั่งไม่รับคําร้อง เป็นคดี หมายเลขดําที่ ม.43/2552 คดีหมายเลขแดงที่ บ. 42/2552 ผู้ร้องได้ยื่นคําร้องอุทธรณ์คําสั่งศาลอาญาที่ไม่รับคําร้องดังกล่าว คดีอยู่ ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ส่วนคดีแพ่งญาติบางส่วนได้ทําสัญญาประนีประนอมยอมความและได้รับเงินชดเชยไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมพ.ศ. 2550
สําหรับคดีอาญา ปัจจุบันกลุ่มญาติตากใบได้ทําหนังสือถึง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) เพื่อร้องขอให้ กสม. ช่วยเหลือในการฟ้องคดีอาญาเพื่อเยียวยาด้านความยุติธรรมและต้องการให้ความจริงปรากฏ ซึ่งขณะนี้เรื่องร้องเรียนดังกล่าวอยู่
ระหว่างการพิจารณาของ กสม. จากการทํางานของภาคประชาสังคมต่อกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบกรณีตากใบพบว่าแม้รัฐบาลจะถอนฟ้องคดี ที่ผู้ชุมนุมตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาข้อหาร่วมกันชุมนุมมั่วสุมและต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์ตากใบจํานวน 58 คนไปแล้วเมื่อ พ.ศ. 2551 แต่ญาติและกลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังคงถูกติดตาม และหลายกรณีถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการก่อความไม่สงบ หลายรายหลบหนี หรือต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ด้วยความหวาดกลัว
เชื่อได้ว่ามีการนําเหตุการณ์ตากใบที่ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมไปขยายความให้ เกิดความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐและต่อกระบวนการยุติธรรม ผู้ได้รับผลกระทบหลายคนอยากจะลืมเหตุการณ์ดังกล่าวและเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ มีญาติผู้สูญเสียลูกชายรายหนึ่งได้เคยกล่าวว่า “เมื่อใดที่พูดถึงเหตุการณ์ตากใบ พวกเราทุกคนจะรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มันเพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อวานนี้เอง”
https://drive.google.com/file/d/1KTNqW78S_mvZlnp4C5ewlpb67-qXf-YZ/view
- 1Bangkok Post: National Security Laws: Key implications for Thailand, 24 Oct 2010